ตลาดหุ้นกลับเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนหลังจากเกิดปรากฎการณ์ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงเหนือการคาดการณ์ในปี 2552 และ 2553 ซึ่งสามารถอธิบายได้โดยไม่ยาก ว่ามีสาเหตุจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีทีท่าสั่นคลอน ในสหรัฐฯประชาชนยังคงต้องลดภาระหนี้สินลงต่อไป แม้ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะแตกสลายไปแล้ว ในญี่ปุ่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากประสบหายนภัยครั้งใหญ่ เอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็กำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน ยุโรปก็มีปัญหาหนี้สินสาธารณะที่ยังคงฝังรากลึก แต่ในทุกกรณี ภาครัฐคือผู้ที่จะต้องคิดให้รอบคอบว่าจะควบคุมหรือส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
จึงไม่น่าแปลกที่ทำไมความเชื่อมั่นต่อการลงทุนจึงไม่แน่นอนในระยะหลัง
แล้วคุณจะทำอย่างไร เมื่อตลาดหุ้นเกิดสะดุด? นักลงทุนบางคนอาจจะหวั่นกลัว และถอนการลงทุน บางคนรอดูสถานการณ์จนกว่าจะเห็นทิศทางชัดขึ้น คุณอาจมีคำถามว่าแล้วทำไมเรายังคงนำเงินไปลงทุนและไม่ถอดใจไปจากการลงทุน แม้เมื่อราคาหุ้นอาจจะตกต่ำลงไปมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติตลาดย่อมมีขึ้นมีลงแม้ในระยะสั้นก็ตาม ดังนั้นการพยายามที่จะทำนายทิศทางตลาดหุ้นจึงมักเป็นเรื่องยาก แม้คิดว่าน่าจะทำได้ก็ตาม และบ่อยครั้งที่ตลาดปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคิดว่ามันน่าจะเป็น ดังนั้นสิ่งที่คุณทำได้และดีที่สุดคือการเกาะติดการลงทุน แม้ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนในตลาดก็ตาม
จากการวิจัย เราพบว่าวิธีการลงทุนอย่างเป็นระบบมักจะทำกำไรได้มากกว่าวิธีการที่ปล่อยให้การตัดสินใจของมนุษย์เป็นตัวกำหนด และนั่นจึงเป็นที่มาของแผนการลงทุนรายเดือน
ด้วยการนำเงินเข้าไปลงทุนทุกเดือน แผนการลงทุนรายเดือนช่วยให้ท่านสร้างพอร์ตหลักทรัพย์ของท่านขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากตลาดหุ้นยังไม่ขยับขึ้น เงินที่ท่านนำมาลงทุนก็จะซื้อหุ้นได้มากขึ้น แต่เมื่อตลาดหุ้นขยับขึ้น เงินที่ท่านนำมาลงทุนก็จะซื้อหุ้นได้น้อยลง แต่มูลค่ารวมของพอร์ตหลักทรัพย์ของท่านจะเพิ่มขึ้น
ข้อที่ดีมากเกี่ยวกับแผนการลงทุนรายเดือนคือการควบคุมการลงทุนที่มากับแผน ท่านสามารถกำหนดจำนวนเงินตายตัวได้เองตามที่ท่านต้องการจะนำมาลงทุน ท่านสามารถตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนในจุดใด และท่านสามารถเลือกหยุดและเริ่มการลงทุนรอบใหม่ตามแผนได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่วิธีการที่เหนือชั้นแต่อย่างใด แต่สามารถช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการลงทุนที่พบบ่อยๆได้มากมาย โปรดอ่านต่อไป....